ข้อดีและข้อเสียของการเป็น Digital Nomad: ประสบการณ์ตรงจากใจ
ก่อนที่จะตัดสินใจกระโดดเข้าสู่โลกของ Digital Nomad ชีวิตผมก็เคยวนเวียนอยู่กับการทำงานออฟฟิศ 8 ชั่วโมงเหมือนคนอื่นๆ ทั่วไป เช้าตื่นไปทำงาน กลางวันวุ่นกับเดดไลน์ เย็นกลับบ้านก็ไม่รู้จะทำอะไร ชีวิตวนลูปจนความสุขหายไปไหนหมดก็ไม่รู้ จนกระทั่งได้ไปเที่ยวซาปา และได้เจอเพื่อนๆ ที่ใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad พวกเขาถามผมคำถามเดียวว่า "นายได้ใช้ชีวิตจริงๆ หรือเปล่า?"
ผมตัดสินใจลาออกจากงาน ไม่ได้ทำตามกระแส แต่เพราะลึกๆ แล้ว ผมเป็นคนรักอิสระ ชอบการผจญภัย ไม่อยากถูกผูกมัดเหมือนเครื่องจักรที่ต้องทำงานซ้ำๆ เดิมๆ ทุกวัน
คำว่า Digital Nomad หลายคนมักจะนึกถึงภาพถ่ายสวยๆ ของการเช็คอินตามสถานที่ต่างๆ คนที่ดูเหมือนได้เดินทางตลอดเวลา และหาเงินได้เป็นหมื่นเป็นแสนดอลลาร์ ใช่ครับ มันจริง แต่ยังไม่หมด นั่นเป็นแค่สิ่งที่คนทั่วไปเห็นภายนอกเท่านั้น ในบทความนี้ ผมจะมาแชร์ทั้งข้อดีและข้อเสีย สำหรับใครที่กำลังคิดจะเป็น Digital Nomad
ข้อดีของการเป็น Digital Nomad
- ✨ ใช้ชีวิตตามความฝัน: คุณจะได้เดินทางเต็มที่ ค้นพบวัฒนธรรม อาหาร และประวัติศาสตร์ของแต่ละท้องถิ่นอย่างแท้จริง
- วันนี้นายอาจจะอยู่ที่ซาปา พรุ่งนี้อยู่ที่บาหลี มะรืนนี้ก็ซิดนีย์... และได้ทำทุกอย่างที่คุณรัก ตามความฝันของคุณ
- ✨ อิสระด้านเวลาและสถานที่ทำงาน: คุณสามารถทำงานได้ทุกที่ทุกเวลา เพราะงานส่วนใหญ่เป็นแบบออนไลน์ อย่างตอนที่ผมอยู่ที่ซาปา บางทีผมตื่นมาทำงานตอนบ่าย 2 โมงก็มี ไม่มีใครมาว่าคุณ ขอแค่ทำงานให้เสร็จตามกำหนดก็พอ
- ✨ ได้เพื่อนใหม่ สร้างเครือข่าย และมีโอกาสพบปะผู้คน: แน่นอนครับ เมื่อคุณเดินทาง คุณจะได้พบปะผู้คนมากมาย และเปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับชีวิต ตัวอย่างเช่น ตอนที่ผมไปซาปา ผมได้พักที่โฮมสเตย์ชื่อ D Home และได้รู้จักกับเจ้าของโฮมสเตย์ เราคุยกันถูกคอมาก เขาเลยแบ่งปันประสบการณ์การทำโฮมสเตย์ให้ผมเยอะแยะ และหลังจากนั้น เมื่อผมไปดาลัด เพราะรู้จักกับเขา ผมก็ได้พักฟรีที่โฮมสเตย์ของเขาด้วย (ช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายได้เยอะเลย)
- ✨ เป็นที่รู้จักมากขึ้น: ถ้าคุณเป็น Travel Blogger, Influencer... คุณจะเป็นที่รู้จักมากขึ้น และมี "แฟนคลับ" คอยให้กำลังใจคุณตลอดการเดินทาง
ข้อเสียของการเป็น Digital Nomad
- ❌ บางครั้งไม่สามารถบาลานซ์ประสบการณ์และการทำงาน: การที่คุณไม่สามารถบริหารจัดการเวลาได้เป็นเรื่องปกติ ถ้าจุดหมายปลายทางของคุณ... "ชิล" เกินไป ผมเคยต้องทำงานข้ามคืนเพื่อชดเชยเวลาที่เล่นสนุกไปก่อนหน้านี้ ถ้าเป็นไปได้ พยายาม "ควบคุมตัวเอง" และมีวินัย เพื่อไม่ให้ต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้บ่อยๆ
- ❌ ปัญหาทางการเงิน รายได้ไม่แน่นอน: การที่จะได้งานฟรีแลนซ์ คุณต้องมีประสบการณ์ หรือมีคอนเนคชั่นกับคนรู้จักเพื่อได้รับการแนะนำ เพื่อให้มีรายได้จาก Blog หรือช่อง Youtube คุณต้องใช้เวลาในการสร้างและโปรโมทแบรนด์ของคุณ ในความเป็นจริง คุณอาจต้องทำงานฟรีอย่างน้อย 3-6 เดือน รายได้จะขึ้นอยู่กับโปรเจกต์ที่คุณได้รับในช่วงเวลาหนึ่ง ดังนั้นบางทีก็มีเงินในกระเป๋าเยอะ บางทีก็เกลี้ยง
- ❌ สุขภาพอาจได้รับผลกระทบ: การเดินทางบ่อยๆ อาจทำให้คุณรู้สึกเหนื่อย เพราะแต่ละที่ก็มีเวลาที่แตกต่างกัน หรือถ้าใครแพ้อากาศง่าย นี่ก็เป็นปัญหาใหญ่เลยครับ
- ❌ ไม่มีความมั่นคง: คนภายนอกอาจมองว่าคุณเป็นคนไร้สาระ เพราะต้องเดินทางไปเรื่อยๆ ไม่มีงานประจำ ตัวผมเองก็รู้สึกแบบนั้น เมื่อบางครั้งก็มีโปรเจกต์เยอะ บางครั้งก็ไม่มีงานทำเท่าไหร่
- ❌ และสุดท้าย อาจจะ "โสด": อันนี้แล้วแต่คนนะ แต่จากที่ผมรู้จักเพื่อนๆ ที่ใช้ชีวิตแบบ Digital Nomad ส่วนใหญ่จะโสด เพราะต้องเดินทางตลอด ไม่มีเวลาดูแลใคร และถ้าอีกฝ่ายไม่ชอบการเดินทางก็ต้องใช้ชีวิตรักทางไกล
สรุปแล้ว Digital Nomad ในปัจจุบันไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่ และไม่ใช่ "อาชีพ" ที่ถูกยกย่องจนเกินจริงอีกต่อไป ถ้าให้ผมย้อนเวลากลับไปเมื่อ 1 ปีที่แล้ว ผมก็จะเลือกเส้นทาง Digital Nomad เหมือนเดิม ผมชอบอิสระ ชอบการผจญภัย และสำหรับผม ทุกอย่างต้องมีการแลกมาซึ่งต้นทุนค่าเสียโอกาส ทุกคนมีสิ่งที่ให้ความสำคัญ และถ้าสิ่งนั้นสำคัญมากพอ คุณก็จะยอมรับความยากลำบากและความเสี่ยงเพื่อให้ทำมันให้สำเร็จ
นี่คือประสบการณ์ส่วนตัวเล็กๆ น้อยๆ ของผมในการเป็น Digital Nomad หวังว่าเพื่อนๆ จะได้ไอเดียเพิ่มเติมนะครับ!
```